ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลยว่าวิกฤตครั้งนี้จะกำจัดหมดสิ้นไปเมื่อใด จะทำอย่างไรหากต้องใช้ชีวิตอยู่กับ Covid-19 วันนี้เรามี 3 วิธีที่อยากมาแนะนำในการปรับตัว “เมื่อต้องอยู่กับ Covid-19“

ในปัจจุบันหรือที่ผ่านมาบางคนอาจจะมีความคิดที่ว่าเดียวไม่นานก็หมดแล้ว เดียวก็มีการผลิตวัคซีนออกมารักษาแล้ว แต่นั้นก็ยังคงไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ฉะนั้นหากเรายังคงรอ ชีวิตเราจะไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้เลยถ้าหากไวรัสนี้ยังไม่หมดไป
อย่างไรก็ตาม คนเรายังคงต้องการใช้ชีวิตในการทำงาน และอื่นๆ เพื่อดำรงชีพ คงไม่มีใครสามารถจุดมุ่งหมายที่ไม่รู้จะมาตอนไหนได้ ใช่ไหมล่ะ วันนี้เราเลยอยากแนะนำ 3 วิธี ที่จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิต “เมื่อต้องอยู่กับ Covid-19“ ในระยะยาว

- ทำไมต่างประเทศรณรงค์ไม่ควรใส่หน้ากากอนามัย?
- CUREVAC ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ใกล้สำเร็จ!!!
- ไวรัสโควิด -19 สามารถกลายพันธุ์ได้จริงหรือไม่
- แนะนำ clicknic แอปฯคัดกรองโควิด-19
- “Hand Sanitizer” อาวุธป้องกัน “Covid-19”
ปัจจัยที่ 1 ศักยภาพในการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อ

เป็นการพัฒนาศักยภาพในการตรวจให้ได้ปริมาณมาก สำหรับการแพทย์ ที่สามารถตรวจแบบปูพรมทั้งผู้ที่มีอาการและกลุ่มเสี่ยงที่ไม่มีอาการ เพราะที่ผ่านมาศักยภาพในการตรวจของเราอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงจำเป็นต้องจัดทรัพยากรที่จำกัดสำหรับตรวจกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและมีอาการชัดเจน ในการตรวจเชื้อ มีด้วยกัน 2 วิธ๊หลักๆ ได้แก่
- การตรวจเก็บสิ่งส่งตรวจจากโพรงจมูก วิธีนี้ทางผู้เชียวชาญส่วนใหญ่ระบุว่าวีธีนี้มีความแม่นยำและเป็นมาตรฐาน เมื่อตรวจพบเชื้อ ก็เรียกว่ามีเชื้อแน่นอน แต่ทาง งานวิจัยจากจีนและสหรัฐฯ ก็ได้ระบุว่าอาจเป็นไปได้ที่ไม่พบเชื้อ แม้ผู้ป่วยในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีเชื้อก็ได้ ซึ่งมีโอกาสพลาดได้ถึง 30% เกิดมาจากการขั้นตอนที่ทำการเก็บสิ่งส่งตรวจ เช่นอาจจะล้วงไปไม่ลึกพอ เป็นต้น
- การตรวจหาแอนติบอดี วิธีนี้ทางผู้เชียวชาญบางคนเรียกว่าเป็น Rapid Test เพราะทำได้เร็วจากการเพียงเจาะเลือกที่ปลายนิ้ว ใส่ในเครื่องตรวจ และรอเพียงไม่นานรู้ผลทันที แต่หลายคนกลับไม่สนับสนุนวิธีนี้ เพราะจะตรวจพบเชื้อได้หลังจากที่เชื้อฟักตัวในระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น หากตรวจในผู้มีเชื้อช่วงแรก อาจจะไม่พบ หรือแม้อาจจะพบ แต่ก็อาจจะพลาดได้ยังจำเป็นต้องตรวจยืนยันด้วยวิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจจากโพรงจมูก เพื่อให้มั่นใจอีกครั้ง แต่ในการตรวจแบบนี้ มีผลดีกับกลุ่มคนที่ไม่สะดวกออกไปโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลที่จะไปนั้นเต็ม ก็สามารถทำการตรวจได้ ในเบื้องต้นด้วยการหลังจากตรวจรอบแรกให้นับเวลาไป 2-3 อาทิตย์ และทำการตรวจช้ำ เพื่อเช็ดอาการ หากมีจึงค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมยื่นหลักฐานก็อาจจะดีกว่าการที่เราไม่ทำไรเลยจนเชื้อฟักไปถึงไหนต่อไหนแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะตรวจวิธีไหนก็อาจไม่แม่นยำ 100% เพราะทั้ง 2วิธี ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ฉะนั้น ควรมีการตรวจช้ำ โดยทิ้งระยะห่างตามระยะการฟักตัว เพื่อเพิ่มความแม่นยำ อย่าหลงเชื้อการตรวจเพียงรอบเดียว เพราะนั้นอาจเป็นต้นต่อ ของการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยที่คิดว่าไม่ป่วยก็เป็นได้
“ในการที่เราจะมีการพัฒนาศักยภาพในการตรวจได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องอาศัยชุดเครื่องมือที่พร้อม น้ำยาตรวจที่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้จำเป็นที่ต้องมีการจัดการเตรียมพร้อมและหาแหล่งจัดซื้อและนำเข้าอย่างจริงจัง และเพิ่มมาตรการในการตรวจให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น”
ปัจจัยที่ 2 หน้ากากอนามัย

ในปัจจุบัน ก็ได้มีการสวมใส่หน้ากากอนามัยกันทุกคน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา ที่ได้ออกมาโต้แย่งเรื่องการสวมใส่หน้ากาก ก็ต้องกลับลำมาใส่ทุกคนแล้ว และเนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากร จึงได้มีการรณรงค์ทำหน้ากากเองรวมทั้งใช้หน้ากากผ้าที่สามารถซักทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ในช่วงที่เราใช้ยาแรงปิดบ้านปิดเมือง คำถามคือ เราได้มีการพยายามยกระดับการผลิตหน้ากากอนามัยหรือไม่ วัตถุดิบจำเป็นในการผลิตที่ต้องนำเข้าเราสามารถหาได้หรือไม่ และเมื่อต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติ หน้ากากอนามัย เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่ไม่ทราบว่าสถานที่ใดหรือคนใดที่มีความเสี่ยงบ้าง แต่ในการสวมใส่หน้ากากก็ควรสวมใส่อย่างถูกวิธี มิฉะนั้น อาจกลายเป็นตัวนำเชื้อ Covid-19 ชั้นดีเลยก็ว่าได้
ปัจจัยที่ 3 เตรียมใจในการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

จากเดิมที่ได้มีการระงับการเดินทางเข้าประเทศ และผู้ที่เดินทางเข้าประเทศก่อนหน้า ต้องมีการกัดตัว 14 วัน อย่างเคร่งครัด ซึ่งการทำเช่นนี้สามารถควบคุมการระบาดได้ในระดับหนึ่ง
และโจทย์ใหญ่ขอเราก็คือ การจัดการกับเศรษฐกิจของเราให้สามารถพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศให้ได้ในช่วง 1-2 ปี โดยไม่ต้องหวังกับการท่องเที่ยว และการส่งออก (ที่ห่วงโซ่การผลิตจะติดขัดอีกหลายระลอกตามการระบาดในประเทศต่างๆ)

“โดยเราต้องมุ่งเนี้นไปที่การจัดการไม่ให้เกิดวิกฤตสังคมเป็นหลักประคองไม่ให้เกิดการเลิกจ้างงาน และต้องพยายามกระตุ้นการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวภายในประเทศทดแทน”
ดังนั้น หากเราต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติ เราอาจเริ่มจากการ เปิดบ้าน เปิดโรงเรียน เปิดห้าง เปิดโรงงาน เปิดเมือง เป็นต้น แต่เราอาจจะต้องค่อยๆ ทำการเปิดประเทศอย่างช้าๆ โดยจะต้องมีมาตรการที่รักกุมและชัดเจนกว่าเดิม เพื่อให้เราสามารถ อยู่กับ Covid-19 ในระยะยาว ได้อย่างปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก:
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/876310
ทางเรามี 1 ผลิตภัณฑ์ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่เล็กกะทัดรัด และที่ลวดลายที่หรูหรา ที่สำคัญมีการใช้งานที่ง่ายๆ มาก เพียงแต่นำหัวน้ำยาใส่ก็สามารถสูบได้เลย ในทางกลับกัน บุหรี่ไฟฟ้า ต้องมีการทำลวด ใส่สำลี และหยดน้ำยา ถึงจะสามารถสูบได้ ทุกคนอ่านแล้วคิดว่ามันสะดวกและดีใช่ไหมล่ะผลิตภัณฑ์ที่เราจะแนะนำนั้นก็คือ “ RELX ” หากคุณกำลังมองหาวิธีการเลิกบุหรี่ หรือหาสิ่งทดแทน คุณห้ามพลาด RELX สามารถตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน อย่ารอช้าลองเลย



และ เราขอนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในปี 2020
KARDINAL STICK POD



ด้วยความปราถนาดีจาก
: RELX
THAILAND
https://relxthailandclub.com/
: KARDINAL
STICK THAILAND
https://kardinalthailand.com/
#relx
#relxthailand
#สุขภาพที่ปลอดภัย
#Kwitsmoking
#ksThailand
#kardinalstick
#ks
#kardinalstickth
#เลิกบุหรี่
#นวัตกรรมช่วยเลิกบุหรี่